I am short sighted
วันศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563
วันเสาร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2562
จางเจียเจีย
จางเจียเจีย (อักษรจีนตัวย่อ: 张家界; อักษรจีนตัวเต็ม: 張家界; pinyin: Zhāngjiājiè) เป็นเมืองระดับจังหวัดในมณฑลหูหนาน ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ประกอบไปด้วยเขตปกครองยองดิงและเทศมณฑลซิลี และ ซางจี ในเมืองนี้มีอู่หลิงยฺเหวียนซึ่งถูกจัดเป็นหนึ่งในมรดกโลกโดยยูเนสโก รวมไปถึงทิวทัศน์ระดับ AAAAA ซึ่งจัดโดย การท่องเที่ยวแห่งชาติจีน[1]
ประวัติ
เมืองนี้เคยถูกเรียกว่าต้ายง (大庸) และมีประวัติยาวนานตั้งแต่ 221 ปีก่อนประวัติศาสตร์ ผู้คนได้อาศัยอยู่ทั้งสองฝากของ แม่น้ำหลีฉุย (แม่น้ำหลักในจางเจียเจีย) ซึ่งตอนนี้อยู่ในเขตของเมืองจางเจียเจีย มานานตั้งแต่สมัยยุคหิน การตั้งรกรากของมนุษย์ในบริเวณนี้นั้นย้อนไปกว่าหนึ่งแสนปี เทียบได้กับเขตที่เป็นที่รู้จักอย่างซีอาน ปักกิ่ง และอื่นๆ ในปีพ.ศ. 2529 Academy of Chinese Social Science discovered Stone Age relics in Cili County ได้พบเครื่องหินกว่า 108 ชิ้นซึ่งคาดว่าถูกทำขึ้นเมื่อมากกว่าหนึ่งแสนปีที่แล้ว จากนั้นไม่นานในปีพ.ศ. 2531 Archaeological Institute ของมณฑลหูหนานยังเจอโบราณวัตถุอื่นๆในเทศมณฑลซางจี รวมไปถึงเครื่องหินซึ่งคาดว่ามีอายุกว่าหนึ่งแสนปี
เมื่อหมื่นปีก่อน ผู้คนที่อาศัยอยู่ในเขตซึ่งปัจจุบัณคือเมืองจางเจียเจียได้ใช้ไฟในการทำเครื่องปั้นดินเผา นักโบราณคดีเจอโบราณวัตถุของเครื่องปั้นเหล่านี้มากกว่า 20 ชิ้นด้วยกันในเทศมณฑลซิลี ส่วนในเทศมณฑลซางจีได้มีการค้นพบหม้อซึ่งมีลายที่เป็นเอกลักษณ์และคาดว่ามีอายุกว่าหมื่นปี ในสมัยนั้นการเผาเครื่องปั้นดินเผาเป็นเทคนิคที่ก้าวหน้าที่สุดในประเทศจีน ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในการใช้เครื่องมือหินและเครื่องปั้นดินเผาดูเหมือนจะเป็นการบ่งบอกว่าพื้นที่นี้มีการพัฒนาทางวัฒนธรรมอย่างกว้างขวาง ทว่าเป็นสังคมที่การพัฒนานั้นคงอยู่ไม่นานจึงลดลงและถูกแทนด้วยอำนาจอื่นในพื้นที่ เนื่องด้วยที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของจางเจียเจีย พื้นที่ที่ยังไม่ได้พัฒนา และภูมิประเทศที่เป็นภูเขาทำให้การปลูกพืชผักนั้นทำได้ยาก จึงไม่แปลกใจที่จะเกิดการยึดอำนาจขึ้นได้ไม่ยาก[2]
จุดกำเนิดของชื่อ
อู่หลิงยฺเหวียน
ชื่อของเมืองจางเจียเจียถูกนำมาใช้เมื่อปีพ.ศ. 2537 หลังจากอุทยานแห่งชาติในอู่หลิงยฺเหวียน (武陵源) ถูกยกให้เป็นมรดกโลกโดยยูเนสโกในปีพ.ศ. 2535 เพื่อให้มีความโดดเด่นมากขึ้น ชื่อจางเจียเจี้ยมาจากหมู่บ้านเล็กๆในเขตเดียวกันซึ่งต้อนนี้ได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยม ทั้งสามตัวอักษรของชื่อ (张家界) สามารถตีความได้ดังนี้ "จาง" (张) เป็นนามสกุลทั่วไปในประเทศจีน "เจีย" (家) แปลได้ว่า "ครอบครัว" และ "เจี้ย" (界) แปลว่า "บ้านเกิด" โดยแปลได้ว่า "บ้านเกิดของครอบครัวจาง" ชื่อนี้เกี่ยวข้องกับนายพลฮั่น จางเลี่ยง ซึ่งได้ย้ายมาอยู่ในพื้นที่นี้หลังจาก หลิวปัง จักรพรรดิ์ฮั่น ได้เริ่มสังหารผู้ช่วยและนายพลซึ่งช่วยให้เขาได้ขึ้นครองบัลลังก์ เมืองนี้จึงถูกตั้งชื่อตามตระกูลจางซึ่งมาตั้งรกรากที่นี้
อ้างอิง : https://bit.ly/2MPeZN2
ประวัติ
เมืองนี้เคยถูกเรียกว่าต้ายง (大庸) และมีประวัติยาวนานตั้งแต่ 221 ปีก่อนประวัติศาสตร์ ผู้คนได้อาศัยอยู่ทั้งสองฝากของ แม่น้ำหลีฉุย (แม่น้ำหลักในจางเจียเจีย) ซึ่งตอนนี้อยู่ในเขตของเมืองจางเจียเจีย มานานตั้งแต่สมัยยุคหิน การตั้งรกรากของมนุษย์ในบริเวณนี้นั้นย้อนไปกว่าหนึ่งแสนปี เทียบได้กับเขตที่เป็นที่รู้จักอย่างซีอาน ปักกิ่ง และอื่นๆ ในปีพ.ศ. 2529 Academy of Chinese Social Science discovered Stone Age relics in Cili County ได้พบเครื่องหินกว่า 108 ชิ้นซึ่งคาดว่าถูกทำขึ้นเมื่อมากกว่าหนึ่งแสนปีที่แล้ว จากนั้นไม่นานในปีพ.ศ. 2531 Archaeological Institute ของมณฑลหูหนานยังเจอโบราณวัตถุอื่นๆในเทศมณฑลซางจี รวมไปถึงเครื่องหินซึ่งคาดว่ามีอายุกว่าหนึ่งแสนปี
เมื่อหมื่นปีก่อน ผู้คนที่อาศัยอยู่ในเขตซึ่งปัจจุบัณคือเมืองจางเจียเจียได้ใช้ไฟในการทำเครื่องปั้นดินเผา นักโบราณคดีเจอโบราณวัตถุของเครื่องปั้นเหล่านี้มากกว่า 20 ชิ้นด้วยกันในเทศมณฑลซิลี ส่วนในเทศมณฑลซางจีได้มีการค้นพบหม้อซึ่งมีลายที่เป็นเอกลักษณ์และคาดว่ามีอายุกว่าหมื่นปี ในสมัยนั้นการเผาเครื่องปั้นดินเผาเป็นเทคนิคที่ก้าวหน้าที่สุดในประเทศจีน ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในการใช้เครื่องมือหินและเครื่องปั้นดินเผาดูเหมือนจะเป็นการบ่งบอกว่าพื้นที่นี้มีการพัฒนาทางวัฒนธรรมอย่างกว้างขวาง ทว่าเป็นสังคมที่การพัฒนานั้นคงอยู่ไม่นานจึงลดลงและถูกแทนด้วยอำนาจอื่นในพื้นที่ เนื่องด้วยที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของจางเจียเจีย พื้นที่ที่ยังไม่ได้พัฒนา และภูมิประเทศที่เป็นภูเขาทำให้การปลูกพืชผักนั้นทำได้ยาก จึงไม่แปลกใจที่จะเกิดการยึดอำนาจขึ้นได้ไม่ยาก[2]
จุดกำเนิดของชื่อ
อู่หลิงยฺเหวียน
ชื่อของเมืองจางเจียเจียถูกนำมาใช้เมื่อปีพ.ศ. 2537 หลังจากอุทยานแห่งชาติในอู่หลิงยฺเหวียน (武陵源) ถูกยกให้เป็นมรดกโลกโดยยูเนสโกในปีพ.ศ. 2535 เพื่อให้มีความโดดเด่นมากขึ้น ชื่อจางเจียเจี้ยมาจากหมู่บ้านเล็กๆในเขตเดียวกันซึ่งต้อนนี้ได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยม ทั้งสามตัวอักษรของชื่อ (张家界) สามารถตีความได้ดังนี้ "จาง" (张) เป็นนามสกุลทั่วไปในประเทศจีน "เจีย" (家) แปลได้ว่า "ครอบครัว" และ "เจี้ย" (界) แปลว่า "บ้านเกิด" โดยแปลได้ว่า "บ้านเกิดของครอบครัวจาง" ชื่อนี้เกี่ยวข้องกับนายพลฮั่น จางเลี่ยง ซึ่งได้ย้ายมาอยู่ในพื้นที่นี้หลังจาก หลิวปัง จักรพรรดิ์ฮั่น ได้เริ่มสังหารผู้ช่วยและนายพลซึ่งช่วยให้เขาได้ขึ้นครองบัลลังก์ เมืองนี้จึงถูกตั้งชื่อตามตระกูลจางซึ่งมาตั้งรกรากที่นี้
อ้างอิง : https://bit.ly/2MPeZN2
สวนเอเดน
สวนอีเด็น หรือ สวนเอเดน (อังกฤษ: Garden of Eden; ภาษาฮิบรู: גַּן עֵדֶן - Gan ‘Ēden) เป็นสถานที่บรรยายไว้ในพระธรรมปฐมกาลว่าเป็นสถานที่มนุษย์สองคนแรกที่พระเจ้าสร้าง -- อาดัม และ อีฟ -- อาศัย ความเชื่อนี้เป็นความเชื่อของศาสนาเอบราฮัม
การสร้างโลกในพระธรรมปฐมกาลจะกล่าวถึงที่ตั้งของสวนอีเด็นว่าอยู่ในบริเวณแม่น้ำสำคัญสี่สาย : แม่น้ำพิชอน แม่น้ำกิฮอน แม่น้ำไทกริส และแม่น้ำยูเฟรทีสซึ่งอยู่ในบริเวณอาร์มีเนีย, ยอดเขาอารารัต, เยเรวาน หรือที่ราบสูงอาร์มีเนีย) [1] (พระธรรมปฐมกาล บทที่ 2 ข้อที่ 10-14) ซึ่งอยู่ในบริเวณประเทศอิรักในปัจจุบัน ซึ่งน่าจะเป็นบริเวณคอเคซัสโบราณโดยเฉพาะบริเวณใกล้กับอาร์มีเนีย แต่ที่ตั้งของแม่น้ำทั้งสี่ยังเป็นที่ถกเถียงกันและยังไม่มีหลักฐานเป็นที่แน่นอนที่สนับสนุนที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของแม่น้ำนอกจากที่กล่าวในพระธรรมปฐมกาลเอง และ วรรณกรรมยิว-คริสเตียนเช่น “จูบิลี” สมมุติฐานอื่นก็ว่าตั้งอยู่ที่เมโสโปเตเมีย ทวีปแอฟริกา หรือ อ่าวเปอร์เซีย สมมุติฐานหลังมาจากหลักฐานของลุ่มแม่น้ำสี่สายที่มาพบกันที่เป็นที่ผลิตทองคำ และยางไม้หอม Bdellium แต่ก็ยังต้องมีการตีความหมายของเนื้อหาของพระธรรมปฐมกาลเพิ่มเพื่อยทนยัน
การสร้างโลกในพระธรรมปฐมกาลจะกล่าวถึงที่ตั้งของสวนอีเด็นว่าอยู่ในบริเวณแม่น้ำสำคัญสี่สาย : แม่น้ำพิชอน แม่น้ำกิฮอน แม่น้ำไทกริส และแม่น้ำยูเฟรทีสซึ่งอยู่ในบริเวณอาร์มีเนีย, ยอดเขาอารารัต, เยเรวาน หรือที่ราบสูงอาร์มีเนีย) [1] (พระธรรมปฐมกาล บทที่ 2 ข้อที่ 10-14) ซึ่งอยู่ในบริเวณประเทศอิรักในปัจจุบัน ซึ่งน่าจะเป็นบริเวณคอเคซัสโบราณโดยเฉพาะบริเวณใกล้กับอาร์มีเนีย แต่ที่ตั้งของแม่น้ำทั้งสี่ยังเป็นที่ถกเถียงกันและยังไม่มีหลักฐานเป็นที่แน่นอนที่สนับสนุนที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของแม่น้ำนอกจากที่กล่าวในพระธรรมปฐมกาลเอง และ วรรณกรรมยิว-คริสเตียนเช่น “จูบิลี” สมมุติฐานอื่นก็ว่าตั้งอยู่ที่เมโสโปเตเมีย ทวีปแอฟริกา หรือ อ่าวเปอร์เซีย สมมุติฐานหลังมาจากหลักฐานของลุ่มแม่น้ำสี่สายที่มาพบกันที่เป็นที่ผลิตทองคำ และยางไม้หอม Bdellium แต่ก็ยังต้องมีการตีความหมายของเนื้อหาของพระธรรมปฐมกาลเพิ่มเพื่อยทนยัน
อ้างอิง : https://bit.ly/2BJsEPd
เขตปกครองตนเองทิเบต
เขตปกครองตนเองทิเบต (ทิเบต:བོད་- โบด์; จีน: 西藏 ซีจ้าง) ทิเบตมีเมืองหลวงชื่อ ลาซา (Lhasa) เป็นเขตปกครองตนเองของประเทศจีน ชาวทิเบต มีพระเป็นผู้นำของเขตปกครองพิเศษนี้ ชนพวกนี้นับถือศาสนาพุทธนิกายวัชรยาน คล้ายกับประเทศภูฏาน ทิเบตตั้งอยู่บนเทือกเขาหิมาลัย เป็นที่ราบสูงที่สูงที่สุดในโลก จนได้รับฉายาว่า หลังคาโลก ทิเบตมีอากาศที่หนาวเย็นมาก และมีความกดอากาศและอ๊อกซิเจนที่ต่ำ ฉะนั้นผู้ที่จะมาในทิเบตจะต้องปรับสภาพร่างกายก่อน และด้วยเหตุนี้ประชากรที่อาศัยอยู่ในทิเบตจึงน้อย
พลเมืองชายของทิเบตกว่าครึ่งบวชเป็นพระ ก่อนที่จีนจะผนวกทิเบตเป็นเขตปกครองตนเอง ทิเบตมีสามเณริกามากที่สุดในโลก ในทิเบตเคยมีคัมภีร์มากมาย พลเมืองนับถือศาสนาอย่างเคร่งครัด จนได้รับฉายาว่า "แดนแห่งพระธรรม" (land of dharma)
ที่ตั้งและอาณาเขต
เขตปกครองตนเองทิเบตมีพื้นที่ติดต่อดังนี้
ทิศเหนือ ติดต่อกับเขตปกครองตนเองชินเจียงอุยกูร์และมณฑลชิงไห่ (ประเทศจีน)
ทิศใต้ ติดต่อกับประเทศเนปาล ประเทศภูฏาน มณฑลยูนนาน (ประเทศจีน) รัฐอัสสัม รัฐนาคาแลนด์ (ประเทศอินเดีย) ในปัจจุบัน บริเวณที่มีเขตติดต่อกับประเทศอินเดียนี้ ยังเป็นบริเวณพื้นที่พิพาทระหว่างจีนกับอินเดีย ซึ่งอินเดียได้อ้างกรรมสิทธิ์เข้ามาปกครอง และเรียกดินแดนบริเวณนี้ว่า อรุณาจัลประเทศ
ทิศตะวันออก ติดต่อกับมณฑลเสฉวน (ประเทศจีน)
ทิศตะวันตก ติดต่อกับรัฐชัมมูและแคชเมียร์ (ประเทศอินเดีย) และประเทศปากีสถาน
อ้างอิง : https://bit.ly/2JoE3Iu
วันอาทิตย์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2561
ดิสโทเปีย
ดิสโทเปีย
ดิสโทเปีย (อังกฤษ: dystopia; มีชื่อเรียกอื่นๆ ได้แก่ cacotopia, kakotopia และ anti-utopia) เป็นสังคมที่ไม่พึงประสงค์หรือน่าหวาดกลัว ปกครองด้วยระบบรวบอำนาจเบ็ดเสร็จ หรือมีภัยพิบัติทางธรรมชาติ ความหมายโดยพยัญชนะของ ดิสโทเปีย จึงหมายถึง "สถานที่เลวร้าย" ว่าตรงกันข้ามกับแนวคิดสังคมแบบยูโทเปีย
คำว่า "ดิสโทเปีย" นี้ ปกติถือว่าเป็นสภาพการควบคุมทางสังคมที่โหดร้ายรุนแรง ว่ากันว่าผู้ที่ใช้คำนี้เป็นครั้งแรกก็คือ จอห์น สจวร์ต มิลล์ เมื่อ ค.ศ. 1868 โดยใช้ศัพท์กรีกโบราณ: δυσ- หมายถึง สถานที่ซึ่งสิ่งต่างๆ ล้วนเลวทราม แทนที่จะเป็นสิ่งดีงามสุขสบายอย่างกรีกโบราณ: ευ-ในยูโทเปีย อุปสรรค ดิส ในภาษากรีกนั้น หมายถึง ไม่ดี เลว หรือ อปกติ ขณะที่ โอว หมายถึง ไม่ (ยูโทเปีย (Utopia) หมายถึง ไม่มีที่ใด, และเป็นแผลงเป็น อิวโทเปีย (Eutopia) หมายถึง สถานที่แห่งความรื่นรมย์ เพราะอุปสรรค "อิว" นั้น หมายถึง ดี) ด้วยเหตุนี้ ดิสโทเปีย และ ยูโทเปีย ถึงไม่ได้มีความหมายตรงข้ามกันอย่างแท้จริง อย่างในกรณีของ "ดิสฟอเรีย" (dysphoria) และอิวฟอเรีย (euphoria) คำว่า "ดิสโทเปีย" เองนั้นเป็นคำประสมในภาษากรีก ดิส (dys) และ โทเปีย (topia) (จากคำว่า "โทปอส" หมายถึง สถานที่)
อ้างอิง : https://goo.gl/s1DWxa
ดิสโทเปีย (อังกฤษ: dystopia; มีชื่อเรียกอื่นๆ ได้แก่ cacotopia, kakotopia และ anti-utopia) เป็นสังคมที่ไม่พึงประสงค์หรือน่าหวาดกลัว ปกครองด้วยระบบรวบอำนาจเบ็ดเสร็จ หรือมีภัยพิบัติทางธรรมชาติ ความหมายโดยพยัญชนะของ ดิสโทเปีย จึงหมายถึง "สถานที่เลวร้าย" ว่าตรงกันข้ามกับแนวคิดสังคมแบบยูโทเปีย
คำว่า "ดิสโทเปีย" นี้ ปกติถือว่าเป็นสภาพการควบคุมทางสังคมที่โหดร้ายรุนแรง ว่ากันว่าผู้ที่ใช้คำนี้เป็นครั้งแรกก็คือ จอห์น สจวร์ต มิลล์ เมื่อ ค.ศ. 1868 โดยใช้ศัพท์กรีกโบราณ: δυσ- หมายถึง สถานที่ซึ่งสิ่งต่างๆ ล้วนเลวทราม แทนที่จะเป็นสิ่งดีงามสุขสบายอย่างกรีกโบราณ: ευ-ในยูโทเปีย อุปสรรค ดิส ในภาษากรีกนั้น หมายถึง ไม่ดี เลว หรือ อปกติ ขณะที่ โอว หมายถึง ไม่ (ยูโทเปีย (Utopia) หมายถึง ไม่มีที่ใด, และเป็นแผลงเป็น อิวโทเปีย (Eutopia) หมายถึง สถานที่แห่งความรื่นรมย์ เพราะอุปสรรค "อิว" นั้น หมายถึง ดี) ด้วยเหตุนี้ ดิสโทเปีย และ ยูโทเปีย ถึงไม่ได้มีความหมายตรงข้ามกันอย่างแท้จริง อย่างในกรณีของ "ดิสฟอเรีย" (dysphoria) และอิวฟอเรีย (euphoria) คำว่า "ดิสโทเปีย" เองนั้นเป็นคำประสมในภาษากรีก ดิส (dys) และ โทเปีย (topia) (จากคำว่า "โทปอส" หมายถึง สถานที่)
อ้างอิง : https://goo.gl/s1DWxa
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)